ถึงแม้ว่าในปัจจุบันพื้นที่ของLGBTจะเริ่มขยายขึ้น ได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่ก็เป็นเพียงเฉพาะแค่บางกลุ่ม เช่น คนในวัยเดียวกัน, เพื่อนสนิท, คนที่เป็นLGBTด้วยกันเท่านั้น ยังมีคนอีกมากที่ยังไม่พร้อมจะเปิดใจ อย่างน้อยก็คือพ่อแม่ ผู้ใหญ่ในครอบครัว และผู้ใหญ่คนอื่น ๆ หลายคนที่ยังมองว่ารสนิยมแบบนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาด หนักสุดก็ถึงกับมองว่าเป็นเรื่องเคราะห์กรรมเลยทีเดียว
ลำพังคนอื่นจะพูด จะมองLGBT ยังไง สุดท้ายมันก็แค่ความคิดของคนอื่น
แต่กับคนในครอบครัวที่ใกล้ชิดมาก ลูกที่เป็นLGBTย่อมเซนซิทีฟกว่าคนอื่นเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น ถ้าคนในครอบครัวไม่รัก ไม่เข้าใจพวกเขา
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ในวันหนึ่งเขาอาจจะไว้ใจคนนอกครอบครัวมากกว่า
จนในที่สุดแล้ว เมื่อเกิดเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้น คนในครอบครัวก็ไม่อาจช่วยเหลือได้ทัน
(ในต่างประเทศ เคยมีข่าวที่ลูกหันไปพึ่งยาเสพติดจนตายเพราะพ่อแม่ไม่ยอมรับที่เป็นเกย์
และยังมีLGBTอีกมากที่เป็นโรคซึมเศร้าจากความกดดันที่ต้องแบกรับความไม่เข้าใจของคนอื่น)
ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ หรือกำลังจะเป็นพ่อแม่มือใหม่ คุณมีสิทธิให้ชีวิตเขาได้เกิดมา แต่เรื่องการใช้ชีวิตของเขา ควรปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของเขาเองค่ะ และเมื่อรู้ว่าสุดท้ายแล้ว ลูกพึงพอใจที่จะรักเพศเดียวกัน นี่คือสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่ควรทำ
- แสดงทัศนคติบวกเมื่อฟังข่าวรักของดารา หรือข่าวที่เกี่ยวกับเพศที่สาม
เด็กส่วนใหญ่มักเก็บคำพูดของผู้ใหญ่มาคิดมาก อย่างน้อยเพียงแค่การแสดงความคิดเห็นเมื่อได้ฟังข่าวอะไรก็ตามไม่กี่นาที แค่นี้สมองพวกเขาก็ไวพอที่จะจดจำแล้วค่ะ ดังนั้น ถ้าคุณยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงเมื่อรู้ว่าลูกชอบพอในเพศเดียวกัน ก็เริ่มที่การพูดคุย แสดงทัศนคติในข่าวเรื่องความรัก หรือข่าวที่เกี่ยวกับเพศที่สาม ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวของเขาในแบบที่เป็นกลางที่สุด และเป็นด้านบวกมากที่สุดค่ะ ให้เขารู้สึกอุ่นใจได้บ้างว่า คนในครอบครัวก็ไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายหรือแอนตี้อย่างรุนแรง เมื่อเขารู้สึกได้อย่างนี้ เขาก็จะแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติเอง ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เหมือนกับเป็นเรื่องทำผิดค่ะ
- อย่าทำตัวเป็นจอมฉก
เมื่อบังเอิญไปพบรูปที่มีผู้ชายด้วยกัน หรือผู้หญิงด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมดาหรือรูปที่ค่อนข้างเซ็กซี่ก็ตาม อย่าถืออำนาจว่าตนเป็นพ่อแม่มีสิทธิจะค้นอะไรก็ได้ เจอแค่ไหนก็รู้แค่นั้นก่อน อย่าถือวิสาสะรื้อค้นโดยที่เจ้าตัวไม่ได้อนุญาต รู้แล้วก็แค่ถามตรง ๆ แล้วปล่อยให้เขาพูดความจริงอย่างรู้สึกว่าไว้ใจได้ อบอุ่น ปลอดภัยที่สุด อย่าทำให้เขาเหมือนเป็นผู้ต้องหา เพราะลึก ๆ แล้วสิ่งที่เขาต้องการก็คืออยากให้คนในครอบครัวรับรู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติ และยินดีที่จะอธิบายก็แค่นั้นเอง
- อย่าทำให้เขารู้สึกว่าต้องแบกรับความคาดหวัง
อย่านำเรื่องรสนิยมทางเพศมาปะปนกับเรื่องดีชั่ว หรือการตั้งเงื่อนไข เช่น ต้องเรียนให้เก่ง, ต้องบวชทดแทนคุณได้ ถ้าคุณอบรมดี เลือกสิ่งแวดล้อมที่ดีให้เขา เขาก็จะรู้ผิดชอบชั่วดีขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ สังคมจะหล่อหลอมเขาเองว่าอยู่ในวัยไหน สถานะใดควรทำหน้าที่อะไร เรื่องรสนิยมทางเพศมันก็คือเรื่องส่วนตัวของเขา อย่าโทษเพื่อน อย่าโทษตัวเอง อย่าตำหนิทั้งที่เขาก็ทำหน้าที่ในด้านต่าง ๆ ได้ดีพอแล้ว
- เตือนด้วยน้ำเสียงที่เบา แสดงถึงความเป็นห่วง
เมื่อต้องการเตือนหรือสอน ลองสมมติว่าตัวเองเป็นคนฟังดู น้ำเสียงไหนที่แม้กระทั่งตัวเองยังรำคาญก็ควรตัดไป วิธีไหนที่เตือนแล้วเขาดื้อกว่าเก่าก็ควรทบทวนตัวเองใหม่ ไม่มีใครหรอกที่ต้องการฟังในสิ่งที่รู้สึกว่าน่ารำคาญ จุกจิก บังคับมากกว่าเป็นห่วง ของแบบนี้คนเป็นพ่อแม่ต้องลองสังเกตเอาเองและต้องปรับตัวเข้าหาลูกบ้าง อย่าคิดว่าลูกคือคนที่เกิดทีหลังแล้วต้องเป็นคนปรับเข้าหาตัวเราเองแต่ฝ่ายเดียว
- ต้อนรับแขกทุกคนของลูกด้วยความอบอุ่น
เมื่อเพื่อนหรือคนที่สงสัยว่าจะเป็นแฟนลูกมาบ้าน (เช่น สงสัยว่าจะเป็นคู่เลสของลูก, สงสัยว่าจะเป็นคู่เกย์ของลูก) อย่าประกบเหมือนกับพวกเขาทำผิด อย่าแอบฟังเหมือนคนไร้มารยาท อย่าระแวงว่าเมื่อเขาอยู่กันสองต่อสองในห้องจะหมายถึงเรื่องทางเพศอย่างเดียว วางใจบ้าง ทำตัวเป็นธรรมชาติบ้าง เพราะอย่างน้อยที่พวกเขาเลือกที่จะนัดเจอกันที่บ้าน นั่นก็แปลว่าพวกเขาอุตส่าห์ไว้ใจว่านี่คือสถานที่ที่ดีที่สุดแล้ว
- ชวนเพื่อนรักของลูก(คนที่คิดว่าเป็นแฟนแน่ ๆ)พูดคุยกัน ทานข้าวด้วยกัน
เพื่อเป็นการสแกนโดยคร่าว ๆ ถึงนิสัยใจคอคนของลูก วิธีที่บ้านไหนก็ใช้กันก็คือ การชวนกันร่วมโต๊ะสักมื้อนี่แหละ อย่างน้อยคุณจะได้เห็นว่าเด็กคนนี้มีทัศนคติอย่างไรในการพูดคุย มีท่าทีอะไรบ้างที่เป็นเสน่ห์ให้ลูกเราติดนักหนา ถึงแต่แรกจะรู้สึกยังไม่วางใจอยู่บ้าง ก็ควรทำตัวเป็นกันเองเหมือนกับว่าคนนี้ก็เป็นลูกของคุณ เพราะไม่แน่ว่าในอนาคตเขาหรือเธอคนนี้แหละที่จะช่วยเป็นหูเป็นตาแทนพ่อแม่ได้ (ในวันที่พ่อแม่ไม่รู้ว่าลูกหายไปไหน อย่างน้อยที่พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะนึกถึงก็คือการติดต่อเพื่อนสนิทหรือคนใกล้ชิดเป็นอันดับแรก ๆ)
- แต่กระนั้นก็ตาม … ถึงจะรู้จักกันแล้ว ก็อย่าสะกดรอยตาม
เด็กกล้าที่จะเข้านอกออกในบ้านได้ตามสบาย หรือยังไม่มีความกล้าพอที่จะมาเยือนก็ตาม ก็ไม่ใช่หน้าที่ของพ่อแม่ที่จะสะกดรอยตามเหมือนว่าเขาคือพวกโจร เมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้ทัน เมื่อนั้นคุณก็เสียความน่าเชื่อถือไปมากจนพวกเขาไม่อยากที่จะบอก และรู้อีกทีพวกเขาก็หนีไปให้ไกลกว่าเดิมจนยากที่จะติดตามแล้วก็ได้
- ไม่ลืมที่จะชื่นชมความสำเร็จของพวกเขาอยู่เสมอ
สิ่งที่ชาวLGBTมักจะมีอยู่ลึก ๆ ในใจก็คือ กลัวทำให้พ่อแม่ผิดหวัง, เสียความรู้สึก, เสียใจ จนกลายเป็นความกดดัน เครียดที่จะต้องต่อสู้อะไรสักอย่างเพื่อให้คนในครอบครัวได้ยอมรับ ดังนั้น สิ่งที่คนเป็นพ่อแม่ควรทำก็คือ ไม่ว่าเรื่องที่พวกเขาทำจะเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงใด ทำแล้วประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ควรให้กำลังใจและชื่นชมในทุกเรื่องที่พวกเขาพยายาม นี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการมากพอ ๆ กับการยอมรับในสิ่งที่พวกเขาเป็นเสียอีก เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่ายังมีคุณค่าในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม
- เรื่องเพศมันคือเรื่องธรรมชาติ
แม้แต่การให้กำเนิดเขามาเป็นตัวเป็นตน คุณก็ยังผ่านกระบวนการที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์มาแล้ว ถึงแม้ว่าเรื่องเพศของพวกเขาจะไม่ใช่การสืบพันธุ์ แต่มองให้ดีแล้วก็เป็นเรื่องธรรมชาติของคนมีฮอร์โมนเหมือน ๆ กัน ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดอะไร เตือนได้ เป็นห่วงได้ แต่อย่าทำให้เขารู้สึกอับอาย ตราบใดที่เขาโตพอ มีวุฒิภาวะพอ เขาย่อมรู้ดีว่าจะจัดการตัวเองอย่างไร บางครั้งก็อาจรู้มากกว่าคุณเสียด้วยซ้ำ
โลกเดี๋ยวนี้ก้าวไปถึงไหนต่อไหนแล้ว คนเป็นพ่อแม่ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับลูก เข้ากับโลกด้วยเช่นกัน
วางอาวุโสลงบ้าง เปิดโอกาสให้กับพวกเขาบ้าง เพราะสุดท้ายแล้วคุณก็ไม่อาจอยู่กับเขาได้ไปจนวันที่เขาตาย
ถ้ามั่นใจว่าเราเลี้ยงลูกมาดี ก็จงเชื่อใจว่าเขาจะเป็นคนดี ไม่ว่าโตแล้วจะเป็นใครหรือมีชีวิตแบบใดก็ตาม : )
Leave a Reply